เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ธรรมะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วนะ คำว่า “พยายามจะปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์” เหมือนเรา เรามีลูกมีเต้า เราอยากให้ลูกได้สมบัติ เรายื่นสมบัติให้เลย แต่เรายื่นสมบัติให้ลูกเราไม่ได้ เราต้องสั่งสอนลูกของเรา สั่งสอนลูกของเราให้ฉลาด สั่งสอนลูกของเราให้รู้จักรักษาทรัพย์สมบัติก่อน แล้วเราถึงจะให้สมบัติลูกของเรา
นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมากๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทอดอาลัยตายอยากเลย “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ”
ฉะนั้น เวลาพูดเมื่อวานไง “ทำให้ตายๆ” พอทำให้ตายๆ เขาบอกว่า ทุกคนยกย่องสรรเสริญ เพราะว่าเขาชื่นชม ชื่นชมทางโลกไง ชื่นชมทางโลกก็หาเหตุผลทางโลก หาเหตุผลแล้ว เวลาแก่เฒ่าชราแล้ว อยู่ไปก็ลำบากลำบน ก็ทำให้ตายซะ ตายไปด้วยความไม่ทุกข์ไม่ยาก ตายไปแล้วจะไปสู่สุคติ นี่เขาว่า เขาว่า
แต่มันมีนะ เมื่อก่อนมีคนไทยนี่แหละบอกว่าโลกนี้มีเพราะมีเรา แล้วเขาจะฆ่าตัวตายไง พอตายแล้วก็จบไง จะฆ่าตัวตาย
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันหลอกมันลวงในหัวใจของเรานี่ ที่มันทำให้เราทุกข์เรายากนี่ ถ้าเราฆ่ากิเลสตายแล้ว วิมุตติสุขๆ จิตใจของเรามีความสุข ฆ่ากิเลสตายแล้วเรามีความสุขไง ไม่ใช่ฆ่าตัวตาย ไม่ใช่ทำให้ชีวิตนี้ตายไป
แล้วเวลาชีวิตนี้ตายไปแล้วมันก็ไม่ตายจริงด้วย เพราะตายแล้วมันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะตายแล้วก็ไปเกิดใหม่ พอไปเกิดใหม่ๆ คนที่หมดอายุขัยมันก็ไปตามผลของวัฏฏะ ไปตามสัจจะไปตามความเป็นจริง คนที่ยังไม่ถึงอายุขัยไปทำให้มันสิ้นชีวิตไปก่อน เป็นสัมภเวสี เพราะมันยังไม่ถึงเวลาที่มันจะตาย พอมันตายก่อน เป็นสัมภเวสี ต้องไปแสวงหาขอเขาอยู่ ขอเขาอาศัย เพราะมันไม่มีที่อยู่ที่อาศัย เพราะเป็นสัมภเวสี
นี่ถ้าความเข้าใจผิด เข้าใจผิดนะ แต่เวลามันเข้าใจผิดแล้ว ถ้าคนที่ไม่เข้าใจ เห็นไหม เวลาพระสอนก็มรณานุสติ มรณานุสติเพื่อให้ระลึกถึงความตาย พอระลึกถึงความตายก็จะทำให้ตายซะ ก็พระสอนน้อยเกินไป มรณานุสติมันชักช้า มรณานุสติมันไม่ได้ดั่งใจไง ก็ทำให้มันตายไปเลย จะได้จบไง
มรณานุสติเป็นคำบริกรรม มรณานุสติเป็นอาวุธ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราไว้ต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจ คนเวลาจะไปต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไม่มีสิ่งใดที่จะไปต่อสู้กับมัน เอาอะไรไปสู้
หลวงตาท่านสอนให้ฝึกหัดสติ มีคำบริกรรม มันเป็นอาวุธที่เราจะไปต่อสู้กับความเห่อเหิมทะเยอทะยานในหัวใจของเรานะ เวลามันเห่อเหิมมันทะเยอทะยานขึ้นมาในใจของเรา ให้เราระลึกถึงความตาย ระลึกถึงความตายให้มันหดหู่ ให้มันสลด ให้มันสลดไง ให้มันหางตกไง ให้กิเลสหางตก อย่าให้มันชูหาง
เวลากิเลสชูหางมันมีอำนาจนะ มันข่มขี่เราในหัวใจ มันทุกข์มันยากไปหมดเลย แล้วเราก็กระหืดหระหอบ ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นกิเลสไง พอไม่รู้ว่าเป็นกิเลสก็กระหืดกระหอบไปไง พอไม่รู้ว่าเป็นกิเลสก็กระหืดกระหอบไปกับมัน
นั่นน่ะมรณานุสติทำให้มันหางตก เวลามันหางตกมันนิ่งเลยไง เวลามันหางตกแล้ว คำบริกรรมๆ ทำสัมมาสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมาแล้วเราก็ฝึกหัดใช้ปัญญา มันต้องมีเหตุมีผลนะ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆ มันต้องมีการกระทำไปอีกมหาศาลไง นี่มหาศาล
แต่เราคิดโดยโลกๆ ไง เขาบอกว่าถ้าเขาทำอย่างนั้นแล้วโลกเขาชื่นชม
ชื่นชมเพราะเราคิดแบบโลกๆ ผลของวัฏฏะนะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปโปรดพระมารดาบนดาวดึงส์ นั่นน่ะมันอยู่คนละภพคนละชาติ เวลาไปโปรด ไปโปรดได้เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครูสอนทั้ง ๓ โลกธาตุ สิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นไง แต่เราก็พูดเอาเฉพาะสิ่งที่ตามันเห็นนี่ไงว่ามันจับต้องได้นี่ไง ว่ามันเป็นความทุกข์ความยาก มันเป็นความลำบากลำบน ก็ให้มันพ้นๆ ไปซะ มันพ้นหรือ มันไม่พ้น
เพราะศาสนาสอนเรื่องอะไร ศาสนาสอนเรื่องการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ศาสนาสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ศาสนาสอนให้ดับทุกข์ๆ ให้มันพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ศาสนาสอนอย่างนั้น ถ้าศาสนาสอนอย่างนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ มรณานุสติ ทำให้หางตก แล้วเราพยายามตั้งใจของเรา
แต่มีหลายคนนะ เวลาเขาง่วงเหงาหาวนอน เราก็ให้เขากำหนดมรณานุสติ พอเขากำหนดแล้วเขากลับมาบอกว่า ทำไม่ได้เลย มันหดมันหู่ มันทำไม่ได้ เห็นไหม มันอยู่ที่จริตนิสัย ถ้าไม่ได้ เราก็ใช้พุทธานุสติ แล้วถ้าไม่ได้ เราก็ใช้คำบริกรรมต่างๆ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ นี่มันอยู่ที่จริตนิสัยนะ
ทีนี้เวลาทำไปๆ ความเข้าใจผิดไง เวลาทำสมาธิๆ ไง พอทำสมาธิแล้วปัญญาจะเกิดขึ้นเอง มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ทำสมาธิแล้วปัญญามันจะเกิดขึ้นเองได้อย่างไร ปัญญาถ้ามันเกิดขึ้นเอง หลวงตาท่านบอกท่านไม่ติดสมาธิ ๕ ปีหรอก แล้วถ้าทำสมาธิแล้วปัญญามันเกิดขึ้นเองนะ ฤๅษีชีไพรเขาสำเร็จไปหมดแล้ว ฤๅษีชีไพรเขาก็ทำสมาธิเหมือนกัน ทีนี้สมาธิมันก็มีมิจฉากับสัมมา แล้วก็มีอีกฝ่ายหนึ่งเขาบอกว่า “ใช้ปัญญาไปเลย พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา”
มันผิดทั้งนั้นเลยน่ะ “ทำสมาธิแล้วเกิดปัญญาเอง” ก็ผิด “ใช้ปัญญาๆ ไปเลย เดี๋ยวสมาธิจะมาเอง” ก็ผิด มันผิดทั้งนั้นน่ะ คนเวลามันผิดไง
เวลาหลวงตาท่านเมตตาเรานะ เวลาท่านเห็นน้ำใจของพระไง ผู้ที่ปฏิบัติใหม่ ปฏิบัติใหม่มันแสนทุกข์แสนยากอย่างนี้ ปฏิบัติใหม่ เวลามันผิดๆ เวลาเราท่องมา เราศึกษามาได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ไปทำมันผิดทั้งนั้นน่ะ “ทำสมาธิแล้วปัญญาจะเกิดเองๆ”
มันจะเกิดเองไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะเวลาจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ มันต้องมีจิตสงบก่อน จิตตภาวนามันต้องมีจิตของเราใช่ไหม เพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะใช่ไหม ถ้าจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าจิตมีสติมีสัมปชัญญะของมัน ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นอิสรภาพ พอเป็นอิสรภาพ พออิสรภาพมันก็ไม่ยอมทำอะไรแล้ว ไม่ทำอะไรหรอก “นิพพานเป็นเช่นนี้เอง นิพพานเป็นเช่นนี้เอง”
นิพพานอะไรของเอ็ง “นิพพานเป็นเช่นนี้เอง” มันยังพูดอยู่ มันนิพพานตรงไหน เพราะพูดคืออะไร ไม่มีตัวตน ใครพูดออกมา ไม่มีตัวตน ใครรับรู้ออกมา ไอ้รับรู้ออกมา มันทั้งนั้นน่ะ นี่ไง เขาเรียกว่าตอของจิตๆ มันไปคร่อมตอไว้ไง พออยู่ที่ตอแล้วก็ โอ๋ย! หลับสนิท หลับสบาย
หลวงตาท่านสอน เวลาไปจำนนกับกิเลส จำนนกับกิเลสนะ เราก็ว่าเราปฏิบัติมาเพื่อจะฆ่ากิเลสๆ เราก็ไม่รู้จักมันไง เวลาเราไปยอมจำนนกับมัน ไปกราบไปไหว้มัน ไปบูชามันนะ นี่บูชากิเลส ไม่รู้จักกิเลสเลย ถ้ารู้จักกิเลส จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง มันจริงอย่างไรล่ะ
ถ้ามันจริง มันสะเทือนกิเลส คนต้องรู้จักกิเลส เห็นกิเลส มันถึงทำได้จริง ถ้าทำได้จริง ถ้ามันวิปัสสนาไป มันจะเห็นความแตกต่างระหว่างภาวนามยปัญญากับสุตมยปัญญามันแตกต่างกันอย่างไร นี่ถ้ามันเริ่มต้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น
ไม่ใช่ให้ไปลัดขั้นตอน แล้วลัดขั้นตอนด้วยวุฒิภาวะที่อ่อนด้อย แล้วก็ทำของเราไป แล้วก็ชื่นชมกันนะ ชื่นชมเพราะอะไร ชื่นชมเพราะพวกเราอำนาจวาสนาน้อย อำนาจวาสนาพวกเราแค่นี้ เห็นอะไรก็ตื่นเต้นไปกับเขา แล้วความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น
ถ้าความจริงๆ ที่เรามาทำกันอยู่นี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ตลอดนะ การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยากๆ แล้วเราเกิดมาแล้วมันเกิดมาทุกข์มายาก นี่เกิดมาทุกข์มายาก โรคประจำตัวของทุกๆ คน โรคหิวโรคกระหาย ปัจจัยเครื่องอาศัยมันต้องมีของมันทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่เราหาๆ อยู่นี่ ข้าวก็เป็นยา ยารักษาโรคหิว สรรพสิ่งในโลกมันก็เป็นยาบรรเทาทั้งนั้นน่ะ ถ้าเป็นยาบรรเทาขึ้นมาแล้ว การดำรงชีพของเรา ถ้าจิตดีขึ้นมา
โรคเครียด โรคเครียดทำให้ทุกๆ คนเป็นทุกๆ โรคเลย เวลาความเครียดความกดดันในหัวใจมันกดดัน ธรรมโอสถทำให้มันผ่อนคลาย ไม่ให้สิ่งใดเข้ามากดดันหัวใจของเรา แล้วเราพยายามทำของเราด้วยสติปัญญาของเรานะ
เวลาเริ่มต้นของเรา ศรัทธาความเชื่อเป็นหัวรถจักรชักลากให้เราสร้างคุณงามความดี ถ้าเราไม่มีศรัทธาความเชื่อเลย ชีวิตมันแห้งแล้ง มันไม่มีจุดยืนของมันหรอก ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อขึ้นมาแล้ว เรามีศรัทธาความเชื่อ เราพยายามทำของเรา
พอมีศรัทธาความเชื่อแล้วทำของเราแล้ว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเริ่มสอนว่า กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแล้ว เพราะศรัทธาความเชื่อ ความเชื่อ ถ้าไปเชื่อผิดมันก็ไปทางผิด ถ้าเชื่อถูก เราทำไม่ได้ ยังไม่ได้ผล ถ้าเราเชื่อแล้ว เราประพฤติปฏิบัติแล้ว เราต้องวัดค่า วัดผลๆ วัดผลว่ามันเป็นจริงหรือไม่ ถ้ามันจริง
ใครๆ ก็เป็นได้ จิตใจคนที่ต่ำต้อยมันก็หลงระเริงไปกับทางโลกเขา จิตใจคนที่เข้มแข็งขึ้นมาเขาก็วัดผลของเขา ถ้าผลของเขา มันเป็นขึ้นมาไหม มันเป็นปัตจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นจริงๆ นะ ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา พระพุทธศาสนาที่มันละเอียดลึกซึ้ง ละเอียดลึกซึ้งอย่างนี้
ไม่ใช่ว่าเราศึกษามา เราคิดอย่างไรเราก็ทำตามนั้น ทำตามนั้นขึ้นไปก็นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ไม่ให้ทำร้ายใดๆ ทั้งสิ้น ศีล ๕ ไม่ให้เบียดเบียนกัน ไม่ทำร้ายกัน ไม่ให้กดขี่ข่มเหงกัน ไม่ให้ทั้งสิ้น แต่เวลายกย่องเชิดชู ยกย่องเชิดชูว่าการฆ่ากิเลสประเสริฐที่สุด การฆ่ากิเลส กิเลสมันเป็นพญามาร มันอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนลงไปที่นั่น แล้วให้ไปทำลายมันที่นั่น
อำนาจวาสนาของเรานะ จะมั่งมีศรีสุข อ่อนด้อยอย่างไรแล้วแต่ นั่นเป็นอำนาจวาสนานะ แต่ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา เราเริ่มบั่นทอนกิเลสในใจของเรานะ อำนาจวาสนาจะมากจะน้อยขนาดไหน นั่นก็เป็นหน้าที่การงานของเรา นั่นก็เป็นหน้าที่การงานของโลก ถ้าจิตใจมันสูงส่งนะ พอจิตใจมันดีขึ้นมาๆ อำนาจวาสนาที่ว่าเราทุกข์เรายากอยู่นี่ ชื่นชมเลยนะ ชื่นชมตรงไหน
ชื่นชมว่า เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีหัวใจของเรา เราใช้สติปัญญาภายในของเรา เราจะมั่งมีศรีสุข ทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน นี่รูปลักษณ์ภายนอก แต่หัวใจของเราต่างหากล่ะ หัวใจของเราต่างหากที่ยิ่งใหญ่ หัวใจของเราต่างหากที่มันได้กระทำของเรา ไม่มีใครรู้กับเราได้แน่นอน
แต่ถ้าเราทำของเรา ถ้าเราทำของเราได้ ทำของเรา พยายามหักแข้งหักขา พยายามฉุดรั้งมันไว้ เราจะมีความสุขมากขึ้นๆ ทั้งๆ ที่หน้าที่การงานก็อันเก่านั่นแหละ มันไม่กดดันเราเลย มันไม่บีบคั้นเราเลย เพราะเราเห็นสัจจะเห็นความจริงของเรานะ นี่มันพอใจ มันพอใจในชีวิตเรา มันพอใจนะ มันพอใจในจิตของเราที่มันมีคุณค่าของเรา มันพอใจที่นี่ๆ มันมีค่าที่สุดไง ถ้ามันมีค่าที่สุด เห็นไหม
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน สอนที่นี่ สอนให้มีการกระทำ การฆ่ากิเลส การทำลาย แต่วิธีการจะฆ่า กิเลสมันสวมรอยบังเงาไง แล้วบังเงาขึ้นมา ไอ้นู่นก็ดี ไอ้นี่ก็ดี ดีไปหมด
ดีและชั่ว ที่ทำดีๆ นี่ดีอยู่ชั่วคราว แล้วเดี๋ยวมันก็จะเสื่อมหมด แล้วเดี๋ยวมันก็จะลงต่ำ มีนักปฏิบัติมหาศาล ปฏิบัติแล้ว ๕ ปี ๑๐ ปีแล้วเลิกไป พอเลิกไป ไปทางโลกมันก็ทุกข์ จนตรอก กลับมาอีก วนเวียนอยู่อย่างนั้นน่ะ อันนี้มันอยู่ที่วาสนาของคน
แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรา นี่ไง ถึงบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ในอภิธรรมนะ ผู้ที่จะสิ้นกิเลสได้อย่างน้อยต้องแสนกัป คำว่า “แสนกัป” เขาได้สร้างสมของเขามา เขาได้ทำของเขามา เขามีจุดยืนของเขา ใครพูดสิ่งใดก็ฟัง ฟังนะ ฟังแล้วเอามาพิสูจน์ ไม่ใช่ปัดทิ้ง ไม่ใช่ปัดทิ้ง แล้วส่วนใหญ่จะไม่ใช่ทั้งนั้นเลย อย่างเช่น “ทำสมาธิแล้วปัญญาจะเกิดเอง” มันเป็นไปได้อย่างไร
แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วปัญญาอะไร ปัญญานั้นน่ะ เวลาหลวงตาท่านเทศนาว่าการนะ ท่านสะเทือนใจมาก มันเป็นสัญญา สัญญานี่นะ พระปฏิบัติเขากลัวกันมาก สัญญาคือความจำได้ คือเปรียบเทียบ สัญญาคือการฉกฉวยของเขามา มันไม่ใช่ของเราหรอก
แต่เวลาเราไปอยู่กับครูบาอาจารย์ใช่ไหม เราไปฝึกหัด เราก็ใช้คติธรรม ใช้สิ่งนั้นเป็นสารตั้งต้น ใช้สิ่งนั้นเป็นจุดประเด็น พยายามฝึกหัดหัวใจของเรา ถ้าเป็นผลงานของเรานะ เป็นความคิดของเรา นั่นน่ะมันสดๆ ร้อนๆ คำว่า “สดๆ ร้อนๆ” มันเกิดจากจิตมันทำลายอวิชชาได้
แต่ถ้าเป็นสัญญา สัญญาคือความจำใช่ไหม ความจำมันเกิดจากจิต กิเลสมันอีกส่วนหนึ่ง นี่มันไปอ้างอิงขึ้นมา แล้วมันจะไปเพิ่ม มันจองหองพองขน กิเลสมันจะตัวใหญ่ขึ้น “กูรู้ กูฉลาด กูเข้าใจแล้ว มันน่าจะเป็นอย่างนี้ แล้วทุกคนควรทำอย่างนี้ๆ เพราะอะไรเพราะมันตรงกับคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” แล้วพูดกันทุกวัน “พุทธพจน์ๆๆ” เพราะมันท่องมาจากพระไตรปิฎก ทำไมมันจะไม่ใช่พุทธพจน์ล่ะ แต่มันเป็นกิเลสของเราเข้าไปสวมรอยไง แล้วพูดอย่างนี้ปั๊บก็บอกว่าไม่เคารพพระพุทธเจ้า
มีไหมหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราท่านไม่เคารพพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เคารพพระพุทธเจ้าจะบวชเป็นพระหรือ การบวชเป็นพระนะ สาวก สาวกะ แค่ได้บิณฑบาต อยู่ในธรรมวินัยอันนี้ ได้ใช้ชีวิตในสมณเพศ ก็ด้วยบุญบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ใช้ชีวิตอยู่นี่ ดำรงชีพอยู่นี่ด้วยบุญบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไป ถ้ามีศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมาในใจของเราอีก
เวลาหลวงตาท่านสิ้นกิเลส กราบแล้วกราบเล่าๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร รู้ได้อย่างไร คำว่า “รู้ได้อย่างไร” มันรู้จริง รู้เอง รู้ด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่สัญญา
สัญญานี่นะ มันจะหลอกเรา หลอกเรานะ เพราะเราไม่เคยได้อารมณ์อย่างนี้ พอเรามีการศึกษา เรามีทฤษฎี พอเราปฏิบัติไปๆ สัญญามันจะเข้ามา แล้วมันจะสร้างอารมณ์ แล้วโอ้โฮ! โอ้โฮ! ไม่ใช่อ๋อ!
เวลาหลวงปู่มั่นท่านถึงหนองอ้อ อ๋อ! อ๋อ! นี่มันเห็นชัดตามความเป็นจริง
ถ้าโอ้โฮ! โอ้โฮ! นี่สัญญามันหลอก แล้วถ้าวุฒิภาวะมันอ่อนด้อย มันไม่จริงของมัน โดนหลอกทั้งนั้นน่ะ
นี่พูดถึงเวลาที่ว่าจิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก หลวงปู่มั่นท่านเตือนประจำนะ หลวงตาท่านมาเทศน์สอนไง จิตนี้แก้ยากนะ ให้พระเราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าหมายความว่าผู้รู้จริงจะแก้ว่ะ
เราไปเจอแต่ไอ้พวกปอกลอก ไอ้พวกกิเลสบังเงา แล้วให้มันแก้ เอ็งจะแก้ไปไหน แก้ไปสุมกองกันอยู่นั่น แล้วไปสุมกองกันอยู่นั่น กว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรม สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนาคตังสญาณ แก้ไขมาก
หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านขนาดนั้น ท่านถึงได้ลูกศิษย์ลูกหามาเป็นหลักชัยของเรา เดี๋ยวนี้ครูบาอาจารย์นะ มันเป็นแม่ปู เอ็งเดินตรงๆ นะ เดินตรงๆ เหมือนกูนี่ แม่ปูมันเดินน่ะ แม่ปูนะ เดินตรงๆ เดินตรงๆ แล้วแม่ปูมันก็เดินไป แล้วให้เดินกันอย่างนั้นน่ะ อย่างนั้นหรือ ฉะนั้นถึงว่า ฟังแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ กาลามสูตร
ทำให้ตายมันจะเป็นบุญกุศลไปไม่ได้ ทำให้ตายเป็นการตัดโอกาสของตน ทำให้ตาย ทำให้ชีวิตเราตกล่วงไป บาปกรรมทั้งนั้น เพราะเราทำคนอื่นตาย คดีอาญา เราทำคนอื่นตาย ๒๐ ปี เวลาเราฆ่าตัวตาย ไม่มีโทษ
แต่ในทางธรรม พลิกกลับ เราฆ่าคนอื่นเป็นคนอื่นนะ ฆ่าตัวเอง ชีวิตนี้มีค่า มีค่ามาก ทำลายไม่ได้ ยิ่งทำลาย พันธุกรรมของจิตๆ มันจะดีขึ้น พัฒนาขึ้น มันเกิดอับเฉาขึ้น ทำให้เบลอไปหมด จิตเกิดมาแล้วไร้สาระเลย นี่พูดถึงว่าความเข้าใจผิด แล้วเวลาอ้าง อ้างศาสนาไง มรณานุสติ ไม่ใช่
มรณานุสติเข้าไปเป็นอาวุธ เข้าไปต่อสู้กับความอหังการในหัวใจนั้น ยังไม่ใช้ปัญญาเลย เวลาปัญญาเกิดขึ้นมา เกิดศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ นี่คือธรรม ธรรมคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีค่ามากอย่างกับเพชรอย่างกับพลอย แต่พวกเราใช้สมองซื่อบื้อเอามาหนุนกิเลสของตน ชอบ พอใจอะไรก็บอกนี่พุทธพจน์ๆๆ
เวลาใครบอกพุทธพจน์นะ เราบอกว่า แขวนพุทธพจน์ไว้ แล้วเอาเหตุและผลของคนเข้าใจ เรามา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เราต้องถกกันด้วยเหตุด้วยผล อย่าอ้างพุทธพจน์ว่ากูถูกๆ แต่มันต้องเป็นสัจจะเป็นความจริงในหัวใจ นี้คือกาลามสูตร เอวัง